หนึ่งในนักเตะหน้าประวัติศาสตร์ชาวฮอลแลนด์ ที่ได้แชมป์กับทุกสโมสรดังยุโรป

อาร์เยน ร็อบเบ็น ตำนานนักเตะชาวฮอลแลนด์ที่โด่งดังมากๆ เคยค้าแข้งกับทีมใหญ่ทั่วยุโรปแทบทั้งสิ้น ร็อบเบน เกิดเมื่อวันที่ 23 มกราคม 1984 เมือง เบดุม, โกรนิงเก้น, ฮอลแลนด์ เล่นฟุตบอลในตำแหน่ง ปีก

โกรนิงเก้น หนึ่งในทีมชื่อดังของ เนเธอร์แลนด์เริ่มบ่มเพาะ ร็อบเบ็น ด้วยการให้เริ่มต้นเล่นให้ทีมเยาวชนระดับซี ในฤดูกาล 1999/2000 และเขาก็ยิงได้ถึง 50 ประตู ซึ่งนั่นก็ดีพอที่จะทำให้ แยน ฟาน ไดจ์ค กุนซือของทีมชุดใหญ่ เรียก ร็อบเบน ขึ้นไปเสริมทีมในทันที

ในเดือนพฤศจิกยน ปี 2000 ก่อนที่จะส่ง ดาวเตะจอมเทคนิครายนี้ ลงสนามเป็นนัดแรก ในเกมที่พบกับ อาร์เคซี วาลไวจ์ค โดย ร็อบเบ็น ถูกเปลี่ยนตัวลงสนามไปแทน ลีโอนาร์โด้ ดอส ซานโต๊ส ในนาทีที่ 79 ของการแข่งขัน

หลังจากนั้น ในฤดูกาล 2000/01 ร็อบเบน ก็กลายเป็นนักเตะชุดใหญ่ของทีมอย่างเต็มตัว ลงสนามเป็นตัวจริงไป 18 นัด แม้จะทำได้แค่ 2 ประตู แต่ด้วยทักษะ และลีลาการเล่นที่เหลือร้ายช่วยพยุงทีมให้ทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอ จนทำให้เขาได้รับเลือกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี




ในฤดูกาล 2001/02 ร็อบเบ็น ยังพัฒนาฝีเท้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง ลงสนามไป 18 นัด ทำได้ 6 ประตู และด้วยฝีเท้า เทคนิค และความเร็วอันขึ้นชื่อลือชาของเขาทำให้ ร็อบเบ็น โด่งดังไปทั่วทั้งฮอลแลนด์ จนในที่สุด พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ทีมยักษ์ใหญ่แดนหังกันลม ก็มาซื้อตัว ร็อบเบ็น ไปร่วมทีม ก่อนที่ฤดูกาล 2002/03 จะเริ่มขึ้น ด้วยค่าตัว 4.2 ล้านปอนด์

ในช่วงออกสตาร์ทเริ่มต้นฤดูกาล 2002/03 กับต้นสังกัดใหม่ อย่าง พีเอสวี มีเสียงวิจารณ์ว่า ร็อบเบ็น มีค่าตัวสูงเกินไปไหม สำหรับนัดเตะวัยแค่ 18 ปี แต่เขาก็จัดการลบเสียงวิจารณ์เหล่านั้น ด้วยการลงโชว์ฝีเท้าไป 33 นัด ยิงได้ 12 ประตู พาทีมคว้าแชมป์ลีกฮอลแลนด์ สมัยที่ 17 มาครองได้ โดยที่เขายังได้รับเลือกเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของทีม ร่วมกับ มาเตย่า เคซมัน นอกจากนั้นยังได้รางวัลนักเตะความสามารถดีเด่นประจำปี อีกด้วย

หลังจากออกเริ่มต้นฤดูกาลแรกกับ พีเอสวี ได้อย่างสุดน่าประทับใจ ปรากฏว่าในฤดูกาลต่อมา ร็อบเบ็น ต้องพบกับฤดูกาลที่น่าผิดหวังบ้าง เมื่อ พีเอสวี พลาดท่าเสียแชมป์ลีกให้กับ อาแจ๊กซ์ คู่ปรับตัวฉกาจ ขณะที่ ร็อบเบ็น ก็โดนอาการบาดเจ็บที่เอ็นหลังหัวเข่าเล่นงาน 2 ครั้ง จนไม่ได้ลงสนามไปพักหนึ่ง แถมยังโดน กุส ฮิดดิงค์ กุนซือของทีมตำหนิว่านิสัยไม่ดี ชอบแกล้งพุ่งล้มตบตาผู้ตัดสิน จนโดนใบเหลืองจากคดีนี้ไปหลายครั้ง

แม้จะประสบมรสุมชีวิตที่ พีเอสวี แต่ด้วยฝีเท้าที่เรื่องชื่อ ทำให้ ร็อบเบ็น เป็นที่ต้องการของ รีล มาดริด ทีมมหาอำนาจของสเปน และ 2 ยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี

แม้ว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีม “ปีศาจแดง” จะเชิญ ร็อบเบ็น ไปพบเพื่อทดสอบฝีเท้า และลงทุนเกลี้ยกล่อมด้วยตัวเอง แต่การที่ แมนฯยูฯ ยื่นข้อเสนอให้กับ พีเอสวี 7 ล้านปอนด์ มันไม่เพียงพอต่อความต้องการของทีมดังแดนกังหันลม ถึงขนาดที่ว่า แฮร์รี่ ฟาน ไรจ์ ประธานสโมสร พีเอสวี กล่าวประชดว่าเงินแค่นี้คงซื้อได้แค่เสื้อ และรูปถ่ายพร้อมลายเซ็นของ ร็อบเบ็น เท่านั้น

ในขณะที่ เรอัล มาดริด ก็ไม่ใช่ทีมในฝันของ ร็อบเบ็น เพราะเขาชอบที่จะไปอยู่กับ “เจ้าบุญทุ่ม”บาร์เซโลน่า มากกว่า ทำให้ เชลซี ยื่นข้อเสนอ 18 ล้านปอนด์ ไปให้ พีเอสวี พิจารณา และทางทีมดังแห่งฮอลแลนด์ ก็ตอบรับข้อเสนอนี้ อย่างพึงพอใจ กับการย้ายทีมอีกครั้งของ ร็อบเบ็น จึงเกิดขึ้น

หลังจากย้ายมาร่วมทีม เชลซี ได้ไม่นาน ร็อบเบ็น ก็ได้รับบาดเจ็บ ในการลงเตะอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่น นัดที่พบกับ โรม่า ทำให้เขาต้องพักยาว กว่าจะได้ลงสนามให้กับ “สิงโตน้ำเงินคราม” อย่างเป็นทางการ ก็ล่วงถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2004




แต่หลังจากที่หายเจ็บกลับมาแล้ว ร็อบเบ็น ก็ยึดตำแหน่งตัวจริงมาครองได้อย่างไม่ยากเย็น พร้อมทั้งกลายเป็นขวัญใจแฟนบอล เชลซี ด้วยลีลาการเล่น และเทคนิคที่แพรวพราว จนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยพา เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และ ลีก คัพ มาครองได้ ในฤดูกาล 2004/05 ก่อนจะมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน ฤดูกาล 2005/06

เข้าสู่ฤดูกาล 2006/07 ดูเหมือนว่า ชีวิตในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของร็อบเบ็น ก็เริ่มจะมีอุปสรรค เมื่อเขาต้องถูกจับนั่งเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจะระบบการเล่นที่ไม่เอื้ออำนวยกับสไตล์การเล่นของเขา แต่จากอาการบาดเจ็บของ โจ โคล ก็เท่ากับเป็นเปิดโอกาสให้เขา ร็อบเบ็น ได้กลับมาเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้ง และเขาก็ทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เจ็บออดๆแอดๆเขาก็กลับมาฟิตพร้อมลงเล่นให้ทีมได้ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบรองชนะเลิศ ที่พบกับ ลิเวอร์พูล โดยแม้ว่าจะไม่อาจพาทีมคว้าแชมป์รายการนี้ได้ แต่เขาก็ยังมีส่วนช่วยให้ทีม “สิงห์บูล” คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้สำเร็จ หลังเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2007 และนั่นก็เป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาในเกาะอังกฤษ ก่อนที่จะเก็บกระเป๋า ย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด หลังจบซีซั่นนั้น

ในวันที่ 22 สิงหาคม ปี 2007 ร็อบเบ็น เซ็นสัญญากับ ทีม “ราชันย์ชุดขาว” เป็นเวลา 5 ปี ในราคา 24 ล้านปอนด์ ส่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร ตามหลัง ซีเนอดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้, เดวิด เบ๊คแฮม และ โรนัลโด้ ตามลำดับ

ร็อบเบน ลงสนามให้กับ เรอัล มาดริด นัดแรก ในวันที่ 18 กันยายน ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ แวร์เดอร์ เบรเมน ก่อนที่ เขาจะต้องพลาดช่วยต้นสังกัดเป็นเวลากว่า 6 สัปดาห์ เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขารบกวนมาจากเกมทีมชาติก่อนหน้านี้




อย่างไรก็ตาม เขาก็กลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเดือน ธันวาคม ซึ่งหลังจากนั้น ร็อบเบ็น ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ จนสามารถกลายเป็นกำลังสำคัญของ ขุนพล “เอล กลาซิโก้” ได้อย่างถาวร พร้อมกับช่วยให้ทีม คว้าแชมป์ ลา ลีกา มาครองได้สำเร็จ เป็นสมัยที่ 31 โดยทำแต้มทิ้งห่างทีมอันดับ 2 อย่าง บียาร์เรอัล ชนิดไม่เห็นฝุ่น อีกด้วย

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ปี 2009 ร็อบเบ็น ย้ายไป บาเยิร์น มิวนิค ด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร เขาได้รับเสื้อหมายเลข 10 ซึ่งเป็นเบอร์เสื้อของ รอย มาคาย เพื่อนชาวดัตช์ของเขา

วันที่ 9 มีนาคม 2010 ร็อบเบ็น ทำประตูตัดสินในเกมที่ บาเยิร์น แพ้ 2-3 (ด้วยสกอร์รวม 4–4) กับฟิออเรนติน่า ทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศของแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2009/10 ด้วยกฏประตูทีมเยือน

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2010 ร็อบเบนได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลแห่งปีในประเทศ เยอรมนี เขาเป็นชาวต่างชาติคนที่สี่และเป็นชาวดัตช์คนแรกที่ชนะตำแหน่งนี้ เขาจบฤดูกาล 2009/10 ด้วย 23 ประตูจาก 37 นัด

หลังจากนั้น ร็อบเบ็น เป็นหนึ่งในนักเตะที่ทีมแทบจะขาดไม่ได้ เขาเป็นตัวหลักกับ บาเยิร์นฯมาโดยตลอดในทุกๆปี ที่ได้ลงเล่นในต่ำกว่า 25 เกมในทุกๆซีซั่น จนเขาเป็นหนึ่งในตำนานของ บาเยิร์น มิวนิคไปแล้ว

เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2019 ร็อบเบ็น ประกาศการตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอล หลังจากที่เขาหมดสัญญากับ “เสือใต้”บาเยิร์น มิวนิค ด้วยวัย 35 ปี ทว่าหลังจากนั้นไม่นานมีข่าวว่า ร็อบเบ็น ได้กลับมาค้าแข้งอีกครั้งกับทีม โกรนิงเก้น ทีมที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมาในอาชีพ แต่ก็ทำได้แค่เป็นไม้ประดับให้กับทีมเหมือนว่าเขาจะหมดไฟในอาชีพนี้ไปแล้ว

หลังจากจบฤดูกาล 2020/21 ร็อบเบ็น ประกาศเลิกอาชีพค้าแข้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมการลงสนามทั้งหมดของเขากับ 5 สโมสรอยู่ที่ 426 นัด ยิงไปทั้งสิ้น 150 ประตู




เกียรติประวัติ
พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น
อีเรดิวิซี: 2002–03
โยฮัน ครัฟฟ์ ชิลด์: 2003
เชลซี
พรีเมียร์ลีก: 2004–05, 2005–06
เอฟเอ คัพ: 2006–07
ฟุตบอลลีกคัพ: 2004–05, 2006–07
เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์: 2005
เรอัล มาดริด
ลาลีกา: 2007–08
ซูเปอร์โกปา เด เอสปาญา: 2008
บาเยิร์น มิวนิค
บุนเดสลีกา: 2009–10, 2012–13, 2013–14, 2014–15, 2015–16, 2016–17, 2017–18, 2018–19
เดเอฟเบ-โพคาล: 2009–10, 2012–13, 2013–14, 2015–16, 2018–19
ซุปเปอร์ คัพ: 2010, 2012, 2016, 2017, 2018
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก: 2012–13
ยูฟ่าซูเปอร์คัพ: 2013
ทีมชาติ เนเธอร์แลนด์
ฟุตบอลโลก: รองแชมป์ 2010 , อันดับสาม 2014

credit : https://www.footballhistory.org/

images credit : https://www.ad.nl/

images credit : https://wedstrijd.tips/

images credit : https://nl.pinterest.com/

images credit : https://www.dailymail.co.uk/

images credit : https://www.eurosport.com/

images credit : https://www.facebook.com/ChelseaFC

images credit : https://www.bavarianfootballworks.com/

images credit : https://www.skysports.com/

images credit : https://indianexpress.com/