ตำนานกองกลาง บาเยิร์น มิวนิค “บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์”

บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ยอดกองกลางของ เสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค และทีมชาติ เยอรมัน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตำนานของแข้งชาวเยอรมนี ที่พาต้นสังกัดประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคของเขา เขาเกิด 1 สิงหาคม 1984 เมือง โคลเบอร์มูร์ เยอรมันตอนเหนือ

บาสเตียน เซ็นสัญญากับ บาเยิร์น มิวนิค เป็นนักเตะทีมเยาวชนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1998 โดยตอนนั้นเขาต้องตัดสินใจเลือกระหว่างการเป็นนักเตะอาชีพหรือนักสกีอาชีพ ซึ่งในที่สุดเขาก็เลือกฟุตบอล

ในช่วงแรกนั้นเขาต้องเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้าย จากนั้นเมื่อได้มาร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ภายใต้การคุมทีมของ อ็อตต์มาร์ ฮิตซ์เฟลด์ ในที่สุดบาสเตียนก็ได้โอกาสประเดิมสนามด้วยวัย 18 ปี เขาถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรองในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่พบกับ ล็องส์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2002

ในฤดูกาล 2002-03 เขาได้ลงเล่นในบุนเดสลีกาไปทั้งหมด 14 เกม โดยช่วยให้บาเยิร์นได้แชมป์ลีกและบอลถ้วยในประเทศ จากนั้นฤดูกาลต่อมาเขาได้ลงเล่นในบุนเดสลีกาไป 26 เกม และเขาก็ทำประตูแรกให้กับสโมสรได้ในเกมที่เจอกับ โวล์ฟสบวร์ก เมื่อเดือนกันยายน 2003

น่าประหลาดใจที่ เฟลิกซ์ มากัธ ผู้จัดการทีมบาเยิร์นคนใหม่ในตอนนั้นส่งชไวนี่ลงไปเล่นกับทีมสำรองในช่วงต้นฤดูกาล 2005/06 แต่ในที่สุดเขาก็กลับมามีบทบาทสำคัญในทีมชุดใหญ่ที่คว้าดับเบิ้ลแชมป์ โดยทำประตูได้ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก ที่เจอกับเชลซีได้ด้วย


เดือนธันวาคม 2010 เขาต่อสัญญากับทีมเสือใต้ออกไปจนถึงปี 2016 และในปี 2012 เขาก็ต้องพลาดหวังคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อแพ้ดวลจุดโทษกับเชลซีในนัดชิงชนะเลิศ ชไวน์สไตเกอร์ยิงลูกโทษไปติดเซฟของ ปีเตอร์ เช็ก ด้วย

อย่างไรก็ตามในฤดูกาลถัดมาเขาก็แก้ตัวได้สำเร็จด้วยการพาบาเยิร์นคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเอาชนะคู่ปรับจากบุนเดสลีกาอย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในนัดชิงชนะเลิศ โดยฤดูกาล 2012/13 นั้น ทีมเสือใต้สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ คือ บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ โพคาล และแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างสุดยอดด้วย

ในนามทีมชาติเยอรมัน ปี 2008 เขาผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูโร 2008 โดยที่เยอรมันไปแพ้ให้กับสเปนอย่างน่าเสียดาย บาสเตียนยังได้ไปเล่นฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งคราวนี้เยอรมันก็คว้าอันดับที่ 3 มาได้อีกครั้ง และหลังจากที่ได้อันดับ 3 มาอีกในยูโร 2012 เขาลงเล่นให้กับทีมอินทรีเหล็กไปถึง 113 เกมทำไป 23 ประตู โดยเกียรติประวัติสูงสุดเกิดขึ้นในปี 2014 ที่เขานำทัพเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกที่บราซิล โดยเอาชนะอาร์เจนตินาไปได้ในนัดชิงชนะเลิศ

บาสเตียนเตรียมย้ายมาค้าแข้งนอกประเทศเป็นครั้งแรก หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บรรลุข้อตกลงกับ บาเยิร์น มิวนิค ในวันที่ 13 กรกฎาคม ปี 2015 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จัดการคว้าตัว บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์พร้อมเซ็นสัญญา 3 ปี

การย้ายทีมครั้งนี้ทำให้เขาเป็นผู้เล่นชาว เยอรมัน คนแรกที่ลงเล่นทีมชุดใหญ่ให้กับ ยูไนเต็ด และเป็นนักเตะเยอรมันคนที่ 3 ที่เคยอยู่กับสโมสรโดย 2 รายแรกได้แก่ มาร์คุส นอยมาร์ และ รอน โรเบิร์ต ซีเลอร์

เขาลงเล่นให้กับ ยูไนเต็ด เกมแรกในโปรเเกรมปรีซีซั่นที่พบกับ คลับ อเมริกา ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2015 ซึ่งในเกมดังกล่าว ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 1-0

การลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเเกมแรกของเขาเกิดขึ้นในเกมนัดเปิดสนามกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ โดยได้ถูกส่งลงมาแทน ไมเคิล คาร์ริค ในนาทีที่ 60 และโดนใบเหลืองใบเเรกในเกมนั้นหลังจากลงสนามไปเพียง 8 นาทีจากการทำฟาวล์ นาเซอร์ ชาดลี่

บาสเตียน ต้องพลาดลงสนามอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากอาการบาดเจ็บบวกกับอายุที่มาก จนกระทั่งในฤดูกาลต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้เปลี่ยนผู้จัดการสโมสรและหัวหน้าผู้ฝึกสอนเป็น โชเซ มูรินโญ่ ทำให้ บาสเตียน ถูกสั่งให้ไปฝึกซ้อมและเล่นกับทีมชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งถือเป็นการลดชั้น จึงถูกมองว่าเขามีปัญหากับ มูรินโญ่ นั่นเอง






และจากนั้นเขาจึงตัดสินใจย้ายทีมร่วมกับ สโมสร ชิคาโก แฟร์ ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ของสหรัฐอเมริกา จากนั้นต่อมา บาสเตียน ก็ได้ประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 35 ปีที่นั่น

เกียรติประวัติ
บาเยิร์น มิวนิค จูเนียร์
แชมป์ บุนเดสลีกา รุ่นอายุไม่เกิน 17ปี : 2001
แชมป์ บุนเดสลีกา รุ่นอายุไม่เกิน 19ปี : 2002
บาเยิร์น มิวนิค
บุนเดสลีกา : 2002–03, 2004–05, 2005–06, 2007–08, 2009–10, 2012–13, 2013–14, 2014–15
เดเอฟเบ-โพคาล : 2002–03, 2004–05, 2005–06, 2007–08, 2009–10, 2012–13, 2013–14
เดเอฟเบ-ลิกาโพคาล : 2007
เยอรมัน ซุปเปอร์คัพ : 2010
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก : 2012–13
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอฟเอ คัพ : 2015–16
ยูฟ่า ยูโรปาลีก : 2016–17
ทีมชาติเยอรมัน
ฟุตบอลโลก : 2014; อันดับสาม: 2006, 2010
รองชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป : 2008
ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพอันดับสาม : 2005

credit : https://sportmob.com/

images credit : https://twitter.com/

images credit : https://www.t-online.de/

images credit : https://www.tz.de/

images credit : https://www.90min.com/

images credit : https://strettynews.com/

images credit : https://utdreport.co.uk/

images credit : https://www.beinsports.com/

images credit : https://bleacherreport.com/

images credit : https://bleacherreport.com/