ตำนานชาวอาร์เจนไตน์ ที่เป็นคนแรกมาค้าแข้งทั้งสองทีมดังเมืองแมนเชสเตอร์

คาร์ลอส เตเวซ อีกหนึ่งแข้งที่ถูกยกให้เป็น “นิว มาราโดน่า” ของชาวอาร์เจนติน่า ที่แม้ปัจจุบันจะมี ลีโอนล เมสซี่ มาร่วมแย่งสมญานี้ไปแล้วก็ตาม แต่เขากลับแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นตัวตายตัวแทนของใคร เพราะนี่แหละคือ “คาร์ลอส เตเวซ” คนแรกที่โลกต้องจารึกชื่อไว้

คาร์ลอส เตเวซ เกิดวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1984 ซิอูดาเดลา ,บูเอโนส ไอเรส ,อาร์เจนติน่า เกิดและเติบโตในย่านชุมชนแออัดที่เรียกว่า เอเฮร์ซิโต้ เด ลอส อันเดส ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ฟูเอร์เต้ อปาเช่” อันเป็นที่มาของชื่อฉายาของเขาที่เคยมีคนเรียกกันว่า “อปาเช่” ชีวิตในวัยเด็กของ เตเวซ เริ่มต้นการฝึกวิชาลูกหนังที่สโมสรเล็กๆที่ชื่อ โอล บอยส์ อยู่ในช่วงปี 1992-1996 ก่อนที่จะไปอยู่กับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง โบคา จูเนียร์ส เมื่ออายุได้ 13 ปี

ภายหลังจากการบ่มฝีเท้าในรังบอมโบเนร่าอยู่ 4 ปี เตเวซ ก็ได้ลงสนามเป็นครั้งแรกในระดับอาชีพเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2001 โดยเป็นเกมที่พบกับ ตาเญเรส เด กอร์โดบา ก่อนจะก้าวมาเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของชาว โบคาในเวลาอันรวดเร็ว

ความโดดเด่นของ เตเวซ นั้นอยู่ที่ทักษะการเล่นอันเหนือชั้นระดับฟ้าประทานที่ทำให้ได้รับสมญาว่าเป็น “นิว มาราโดน่า” อีกคนของวงการฟุตบอลอาร์เจนไตน์ ทั้งรวดเร็ว แม่นยำและเด็ดขาด แต่จุดเด่นที่เหนือกว่าก็คือเรื่องของสภาพร่างกายที่แม้จะไม่สูงใหญ่แต่ก็มีความหนาตัน และหัวจิตหัวใจที่ห้าวหาญมาทดแทน

ในสีเสื้อของ โบคา จูเนียร์ส เตเวซ ช่วยนำความสำเร็จมากมายมาสู่ทีมไม่ว่าจะเป็นแชมป์ฟุตบอลลีกอาร์เจนไตน์ 2003 ,โคปา ลิเบอตาดอเรส คัพ 2003 ,อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ หรือฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2003 และโคปา ซูดาเมริกาน่า 2004

ต่อมา เตเวซ กลับสร้างความประหลาดใจให้กับทุกฝ่ายด้วยการเลือกย้ายไปเล่นให้กับ โครินเธียนส์ สโมสรยักษ์หลับของ บราซิล ที่เพิ่งจะได้นายทุนหน้าใหม่ เคีย จูรับเชียน ที่ต่อมากลายเป็นนายหน้าส่วนตัวไปด้วยเนื่องจากถือสิทธิ์ในตัวของ เตเวซ โดยการย้ายทีมครั้งนี้ด้วยค่าตัว 20 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นการย้ายทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลละตินเลยทีเดียว

เขาก็สามารถเอาชนะใจแฟนบราซิลได้มากมาย หลังจากการเป็นกัปตันทีม โครินเธียนส์ และพาทีมคว้าแชมป์ ทั้งยังกลายเป็นนักเตะต่างชาติคนแรกที่คว้าแชมป์ลีก ในบราซิลในรอบ 20 ปี

เขาเริ่มเข้ามาค้าแข้งใน พรีเมียร์ ลีก อังกฤษในฤดูกาล 2006-07 กับ “ขุนค้อน”เวสต์แฮม ยูไนเต็ด หลังจากเริ่มเกมกับเวสต์แฮม เป็นไปอย่างช้าๆ โดยลงเล่น 19 นัดแต่ยังทำประตูให้ทีมไม่ได้ เตเวซ ก็สามารถนำประตูได้ในนัดที่ 20 ที่ลงสนามในนัดที่ทีมพ่ายต่อสเปอร์ส 4 – 3 หลังจากนั้นเขาก็เริ่มทำประตูให้ทีมได้ โดยลงเล่นอีก 10 นัด ทำประตูได้ 7 ประตู และมีส่วนช่วยให้ทีมรอดพ้นการตกชั้นไปได้

ประตูที่น่าจดจำที่สุดของเขาในการเล่นให้กับ เวสต์แฮม มาในวันสุดท้ายของฤดูกาล เมื่อเขาสามารถทำประตูได้ในนัดที่พบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดย เตเวซ โชว์ฟอร์มหนีการสกัดของ เวส บราวน์ และยิงบอลผ่านมือ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เข้าประตูไปอย่างสวยงาม

ฟอร์มการเล่นที่น่าประทับใจของเขาไม่เพียงแต่จำกัดอยู่ในฟุตบอลระดับสโมสรเท่านั้น แต่เขายังเล่นได้ดีในระดับทีมชาติ ในการเล่นให้กับอาร์เจนติน่า และช่วยทีมคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกปี 2004 ด้วยการทำประตูให้ทีมในทัวนาเมนต์นี้ 8 ประตู และตอนนี้เขาก็มีชื่ออยู่ในทีมชุดใหญ่ของ อาร์เจนติน่า ด้วย เขาได้ร่วมเล่นในฟุตบอลโลก 2006 ในนัดที่พบกับ เซอร์เบีย และ มอนเตเนโกร และหลังจากนั้นก็ได้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในนัดที่พบกับฮอลแลนด์

เตเวซ สร้างความฮือฮาเมื่อได้ย้ายมาเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้งานแบบยืมตัวเป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งกองหน้าร่างเตี้ยตันคนนี้ พาทีมปีศาจแดงคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สองสมัยซ้อน รวมถึง ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก และลีกคัพอีกอย่างละสมัย

แต่สุดท้ายการเจรจาการซื้อขาดก็ไม่เกิดขึ้นหลังจากหมดสัญญายืม ซึ่งนั่นก็อาจจะมาจากการที่ค่าตัวที่สูงโต่งที่ เวสต์แฮม ตั้งไว้ ดีลนี้จึงไม่เกิดขึ้น และอีกสาเตุก็มาจาก ท่านเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กุสัน ไม่ลงลอยกับเอเย่นต์ส่วนตัวของ เตเวซ เช่นกัน

แทนที่ เตเวซ จะย้ายไปเล่นให้กับหลายๆ สโมสรยักษ์ใหญทีมอื่นหลังย้ายออกจากรัง โอลด์แทร็ฟฟอร์ด เขากลับเลือกทำเจ็บแสบเหมือนได้เอาคืน แมนฯยู ที่โทษฐานไม่ซื้อเขาร่วมทีมถาวร เขาจึงตัดสินใจเดินข้ามฝั่งมาเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในราคา 25 ล้านปอนด์ เล่นเอาแมนฯยูงงเป็นไก่ตาแตก

เรื่องนี้ได้สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากให้วงการลูกหนัง โดยเฉพาะกับการที่ เรือใบสีฟ้า ได้เอารูป เตเวซ ชูขึ้นป้ายขนาดใหญ่ในเมือง แมนเชสเตอร์ เหมือนเป็นการลูบคมแมนฯยูไปในตัวนิดๆ

แต่กูรูมากหน้าหลายตาได้ฟันธงว่าเขาจะล้มเหลวกับ แมนฯซิตี้ แน่นอน แต่เขาก็หักปากาเซียนลงได้อย่างราบคาบ ด้วยการกดประตูอย่างเป็นกอบเป็นกำให้เรือใบขึ้นมาสู่หัวแถวของลีกได้อย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากนี้ด้วยสไตล์การเล่นแบบวิ่งสู้ฟัดของ เตเวซ ที่วิ่งขึ้นวิ่งลงตั้งแต่แดนหน้ายันแดนหลังจึงทำให้เขากลายเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์สูงที่สุดจนเพื่อนร่วมทีมยังชูนิ้วโป้งให้อีกด้วย

หลังสโมสร เรือใบ ได้ โรแบโต มันชินี เข้ามาคุมทีมก็ทำให้ฟอร์มของ เตเวซ ดีขึ้นไปอีกและเพียงในฤดูกาล 2010-2011 ซึ่งเป็นปีที่สองเท่านั้นกับทีมนักเตะรายนี้ก็พาทีมปลดล็อคคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ แชมป์แรกจากรอบ 35 ปีได้สำเร็จในฐานะกัปตันทีมพร้อมยังคว้าโควต้า ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มาหลังพลาดจากปีแรกไปได้สำเร็จด้วย

ในที่สุดเจ้าตัวก็เดินมาถึงทางตันหลังจากที่ประสบความสำเร็จกับเรือใบอย่างเต็มอิ่ม เมื่อ เตเวซ ได้ตัดสินใจย้ายไป ยูเวนตุส ในปี 2013 แม้จะมีทั้งช่วงเวลาที่ดีและแย่ถึงขนาดโดนแฟนบอลชูป้ายไล่มาแล้วในถิ่นเรือใบ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เตเวซ คือหนึ่งในคนสำคัญที่ทำให้ เรือใบสีฟ้า แล่นมาถึงจุดนี้ได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

เตเวซ ย้ายมาอยู่กับ ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่เวที เซเรีย อา แต่ทว่าเขาก็ไม่สามารถปรับตัวเข้าหาสไตล์บอลที่นั่นได้ บวกกับมีอาการบาดเจ็บรบกวนต่อเนื่องจนลงสนามได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เขาอยู่ที่นี่ 2 ฤดูกาล แต่ลงสนามไปเพียงแค่ 66 เกมรวมทุกรายการ และยิงไป 39 ประตูเท่านั้น

หลังจากหมดสัญญากับม้าลาย เขาก็ย้ายไปร่วมทีม โบคา จูเนียร์ ต้นสังกัดเก่าที่สร้างชื่อให้เขาอีกครั้ง 1 ฤดูกาล และมาขุดทองที่เมืองจีนในปี 2016-18 กับ เซี่ยงไฮ้ เซิ่นหัว ลง 16 เกม ยิงไป 4 ประตู สุดท้ายกลับไปค้าแข้ง โบคา อีกครั้งและอยู่ที่นั่นจนถึงปัจจุบัน

เกียรติประวัติ
โบคา จูเนียร์ส
แชมป์ลีก : 2003 Apertura, 2015, 2016–17, 2017–18, 2019–20
โกปาลิเบร์ตาโดเรส : 2003 2004
อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ : 2003
โคปา อาร์เจนตินา : 2014–15
ซูเปอร์โคปา อาร์เจนตินา : 2018
โครินเธียนส์
แชมป์ บราซิล เซเรีย อา : 2005
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แชมป์พรีเมียร์ลีก : 2007–08, 2008–09
ลีก คัพ : 2008–09
คอมมูนิตี้ ชิลด์ : 2008
ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก : 2007–08
ฟีฟ่า คลับ เวิรืด : 2008
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
พรีเมียร์ลีก : 2011–12
เอฟ เอ คัพ : 2010–11
คอมมูนิตี้ ชิลด์ : 2012
ยูเวนตุส
เซเรีย อา : 2013–14, 2014–15
โคปา อิตาเลีย : 2014–15
ซุปเปอร์ โคปา : 2013
เซี่ยงไฮ้ เซิ่นหัว
ไชน่า เอฟ เอ คัพ : 2017

credit :

images credit : https://www.dailymail.co.uk/

images credit : https://www.soccerpro.com/

images credit : https://www.manchestereveningnews.co.uk/

images credit : https://www.theguardian.com/

images credit : https://www.eurosport.com/

images credit : https://twitter.com/

images credit : https://www.insideworldsoccer.com/

images credit : https://www.manchestereveningnews.co.uk/