ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ อดีตศูนย์หน้าตัวเป้า ได้ฉายาว่าเป็น อีริค คันโตน่า คนที่สอง

ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ อดีตศูนย์หน้าตัวเป้า ที่สมบูรณ์แบบ และแสนยานุภาพของทีมชาติบัลแกเรีย ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ และสัญชาติญาณการล่าตาข่ายที่ดุดัน โดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือชื่อก้องยอมรับว่าชื่นชอบนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ อีกทั้งสไตล์การเล่นแบบบัลแกเรียนที่โดนเด่น ใกล้เคียงบุรุษในตำนานอย่าง เอริค คันโตน่า เบอร์บาตอฟจึงได้กลายมาเป็นหนุ่มบัลแกเรี่ยน ชุดแดงขวัญใจแฟนๆ ยูไนเต็ดในอดีต ที่อยู่ยุคเดียวกับ เวย์น รูนี่ย์, คาร์ลอส เตเบซ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

เบอร์บาตอฟ เปิดฉากชีวิตนักเตะ ด้วยการร่วมทีมซีเอสเคเอ โซเฟีย ยักษ์ใหญ่สูงสุดของชาติบ้านเกิดของบัลแกเรีย ในขณะที่มีอายุเพียง 17 ปี เจริญรอยตาม อีวาน พ่อของเขา และหลังจากประเดิมนัดเปิดสนามกับทีมยักษ์ใหญ่ ในปี 1998-99 ด้วยวัยเพียง 18 ปี เบอร์บาตอฟ ก็เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยการทำ 14 ประตู ใน 27 นัด ในการลงเล่นในลีก

หลังเปิดฉากการทำประตู ให้กับซีเอสเคเอ โซเฟีย กับพรสวรรค์ และความโดดเด่นของ เบอร์บาตอฟ ดึงดูดสายตาของทีมลีกใหญ่ในยุโรปบุนเดสลีกาอย่าง “ห้างยา”ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จากเยอรมันมาคว้าตัวไปรับหน้าที่ศูนย์หน้าล่าตาข่าย ในเดือนมกราคม 2001 แต่การร่วมทีมกับเลเวอร์คูเซ่น กลับดูเหมือน เบอร์บาตอฟ จะปรับตัวเข้าสไตล์บอลที่นั่นไม่ได้ ดูจะฝืดๆ อืดๆ ในช่วงแรก จนกระทั่งเขาได้ใช้เวลาปรับตัวซักระยะจนสำแดงฤทธิ์เดชสร้างชื่อให้กับตัวเอง ในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการโซโล่ ทำประตูเอาในแมทช์ที่บี้กับ โอลิมปิก ลียง และอีกเกมที่สามารถทะลวงตาข่ายของ ลิเวอร์พูล ได้

นอกจากความโดนเด่นในระดับสโมสรแล้ว เบอร์บาตอฟ ยังสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติ บัลแกเรีย สร้างผลงานจนได้รับเสนอชื่อเข้ารับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของบัลแกเรีย ในปี 2002, 2004 2005 และ 2007






จุดกำเนิดการผันเข้าสู่วงการพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2005-06 สเปอร์สคว้า เบอร์บาตอฟ ไปครองด้วยค่าตัว 16 ล้านยูโร (ราว 800 ล้านบาท)ด้วยการเซ็นสัญญามาเป็นนักเตะของท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และได้รับด้วยค่าเหนื่อย 10.9 ล้านยูโรต่อปี และการมาของ เบอร์บาตอฟ ไม่ทำให้แฟนไก่เดือยทองผิดหวัง เมื่อ เบอร์บาตอฟ เปิดตัวด้วยการซัลโว ในสองนาทีแรก ในศึกครั้งที่เปิดบ้านรับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ต และโชว์ฟอร์มร้อนแรงจัด ซัดไปถึง 23 ประตูในครึ่งฤดูกาลแรกจนได้รับการโหวตเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล 2007-08 ของไก่เดือยทองอีกด้วย

และในฤดูกาล 2007-08 เบร์บาตอฟ ต้องเผชิญหน้ากับข่าวการย้ายทีมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 ในเดือนม.ค. 2008 ซึ่งแม้ว่าฆวนเด ราโมส กุนซือของทีม จะออกมายืนยันหลายครั้งว่าสเปอส์ไม่มีความคิดที่จะขายศูนย์หน้าตัวเก่งรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถลดกระแสข่าวลงได้เลย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีมของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไม่เคยปิดบังว่าเขาชื่นชอบทักษะและสัญชาตญาณการทำประตูของ เบอร์บาตอฟ มากแค่ไหน แต่ความพยายามที่จะดึงตัวดาวยิงบัลแกเรียมาร่วมทีมอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเชลซี ทีมเจ้าบุญทุ่มของเมืองผู้ดีก็พร้อมที่จะประเคนเงินก้อนโตให้สเปอร์สยอมใจอ่อนเช่นกัน

เรื่องราวการย้ายทีมยังมีอย่างไม่ลดละ เบอร์บาตอฟ ก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจนในความต้องการที่จะย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงขั้นเซ็นชื่อในเสื้อของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และในที่สุดเขาก็ได้ย้ายมาร่วมทีมนี้ด้วยค่าตัว 30.75 ล้านปอนด์ (หรือราว 1,968 ล้านบาท) จนท้ายที่สุด หลังจากที่สับสนเรื่องการย้ายทีม เบอร์บาตอฟ ก็แพ็คกระเป๋าย้ายเข้าโอลด์ แทรฟฟอร์ด กลางฤดูร้อน 2008 ด้วยสัญญา 4 ปี นับแต่วันที่ 1 ก.ย. 2008

ในฤดูกาลแรกเขาที่โอลด์แทรฟฟอร์ดเขาต้องแย่งชิงตำแหน่งกับ คาร์ลอส เตเบซ หัวหอกชาวอาร์เจนติน่า แต่หัวหอกชาว บัลแกเรีย ก็ยังไม่สามารถทำได้ จนในปีต่อมาหลังจากที่ เตเบซ ย้ายไปร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ เขาจึงได้ตำแหน่งตัวจริงมาครอบครอง

แต่เขาก็ยังไม่สามารถระเบิดฟอร์มเก่งออกมาได้ ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าตัว 30.75 ล้านปอนด์ที่สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เสียไป แต่ในฤดูกาล 2010-2011 หัวหอกหมายเลขเก้าระเบิดฟอร์มเก่งด้วยความขยันซ้อม และการพูดคุยกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยนำสามารถทำ 3 ประตูในเกมชนะลิเวอร์พูล 3-2 ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับในสายตาแฟนบอลมากขึ้น

รวมถึงยังโชว์ฟอร์มสุดยอดทำคนเดียว 5 ประตูในเกมชนะ แบล็กเบิร์นโรเวอส์ ไปอย่างขาดลอย 7-1 ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ในพรีเมียร์ลีกที่ยิง 5 ประตูในเกมเดียว ต่อจากแอนดี้ โคล, อลัน เชียเรอร์ และ เจอร์เมน เดโฟ และตอนนี้เป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกด้วย แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่คงเส้นคงวาจึงทำให้เขาตกเป็นตัวสำรองบ่อยครั้ง ในยุคของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน






ด้วยฟอร์มที่ไม่คงเส้นคงวา อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจซื้อกองหน้ามาเพิ่มเพื่อกดดันตำแหน่งของ เบอร์บาตอฟ ในปี ค.ศ. 2011 เฟอร์กี้ ได้ซื้อ ชิชารีโต กองหน้าชาวเม็กซิโกมาทดแทนในตำแหน่งของเขา และด้วยการทำประตูได้อย่างต่อเนื่องของเด็กใหม่ ทำให้ เบอร์บาตอฟ ไม่ได้รับโอกาสการลงเล่นในสนามให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกเลยหลังจากนั้น ใน 4 ฤดูกาลที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เบอร์บาตอฟ ยิง ไป 48 ประตู

ในฤดูกาล 2011-12 ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ตัดสินใจย้ายทีมอีกครั้ง โดยครั้งจุดหมายปลายทางอยู่ที่ “เจ้าสัว”ฟูแล่ม โดยเซ็นสัญญากันสองปี ลงสนาม 50 เกม ยิงไป 19 ประตูเท่านั้น ถือเป็นช่วงขาลงของแข้งขาว บัลแกเรี่ยนชัดเจน หลังจากหมดสัญญากับ เจ้าสัว ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ก็ระหกระเหินเดินทางต่อไปอีก 3 ทีมในช่วงปลายอาชีพ โมนาโก(ฝรั่งเศส), พีเอโอเค ซโลนิก้า(กรีซ) และ เคราล่า บลาสเตอร์ส (อินเดีย) และปิดอาชีพค้าแข้งที่นี่เป็นทีมสุดท้าย รวมการค้าแข้งทั้งสิ้น 504 เกม ยิงไปทั้งหมด 213 ประตู กับ 20 ปีบนสังเวียนหญ้า

เกียรติประวัติ
ซีเอสเคเอ โซเฟีย
บัลแกเรีย คัพ: 1998–99
เลเวอร์คูเซ่น
เดเอฟเบ-โพคาล รองชนะเลิศ: 2001–02
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรองชนะเลิศ: 2001–02
ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ฟุตบอลลีกคัพ: 2007–08
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก: 2008–09, 2010–11
ฟุตบอลลีกคัพ: 2009–10
เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์: 2010, 2011
ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ: 2008
ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรองชนะเลิศ: 2008–09, 2010–11

images credit : https://berbatov.com/

images credit : https://www.transfermarkt.com/

images credit : https://www.football.london/

images credit : https://www.football.london/

images credit : https://www.pinterest.co.uk/

images credit : https://www.manchestereveningnews.co.uk/

images credit : https://www.zimbio.com/

images credit : https://www.express.co.uk/

images credit : https://www.caughtoffside.com/

images credit : https://www.irishmirror.ie/

images credit : https://www.goal.com/

images credit : https://www.mirror.co.uk/