ยอดตำนานกองหลังของ อินทรีเหล็ก ยุค 80′ ที่ยอดเยี่ยมทั้งอาชีพค้าแข้งและอาชีพกุนซือ “ฟรานซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์”

ฟรานซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์ หรือชื่อเต็มว่า ฟรานซ์ อันตั้น เบ็คเค่นเบาเออร์ “ฉายา เดอะ ไกเซอร์” เกิดเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1945 ที่เมือง มิวนิค อดีตนักฟุตบอลชาวเยอรมัน ตำแหน่ง กองหลัง

เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นนักฟุตบอลเยอรมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องในประวัติศาสตร์ฟุตบอล เขาได้รับเลือกเป็นผู้เล่นยุโรปแห่งปี 2 ครั้ง เขาลงแข่งให้กับฟุตบอลทีมชาติเยอรมนีตะวันตก 103 นัด ในฟุตบอลโลก 3 ครั้ง

เขายังเป็นผู้เล่นคนเดียวที่เป็นกัปตันทีม และผู้จัดการทีมให้กับประเทศที่ชนะฟุตบอลโลก เขาได้ถ้วยฟุตบอลโลกในฐานะกัปตันทีมในปี 1974 และได้อีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีมชาติในฟุตบอลโลก 1990 และกับสโมสรฟุตบอล บาเยิร์น มิวนิค

เขาได้ถ้วยยุโรป 3 ครั้งติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 1974 ถึง 1976 และคัพ วินเนอร์ส คัพ ในปี ค.ศ. 1967 ฟรานซ์ รับใช้ทีมชาติเยอรมันตะวันตกมานานกว่า 10 ปีเป็นกัปตันทีมมากกว่า 50 เกม ได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปถึงสองครั้งสองครา

เส้นทางฟุตบอลโลกของ ฟรานซ์ เริ่มขึ้นเมื่อปี 1966 เมื่อเยอรมันตะวันตกพ่ายให้ อังกฤษ ที่เวมบลีย์ นัดชิงชนะเลิศ ซึ่งเกมนั้น ฟรานซ์ ถูกจับยืนในตำแหน่งที่ไม่ถนัดกับมิดฟิลด์ ที่คอยจับตาย บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ทัวร์นาเมนต์นั้น ฟรานซ์ ยิงไป 4 ประตู

ซึ่งทำให้ชาวโลกเริ่มหันหน้ามามองเด็กหนุ่มรายนี้ที่วัยเพียง 21 ปี ในฟุตบอลโลกครั้งต่อมาปี 1970 ที่ เม็กซิโก เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ควรค่าแก่การจดจำมากที่สุดของ เบ็คเค่นเบาเออร์

หลังจากเจ้าตัวเข็นสังขารอาการเจ็บหัวใหล่แตะเกมในรอบตัดเชือกที่พ่าย อิตาลี 4-3 ซึ่งหลังจากโดนกระแทกอย่างแรง เจ้าตัวปฏิเสธที่จะรับการเปลี่ยนตัวออกไปพัก วิ่งสู้ฟัดจนครบ 120 นาที ก่อนที่ทีมจะพ่ายในแมตช์นั้นอย่างเจ็บปวด

แต่ก็มาได้อันดับ 3 ปลอบใจหลังเอาชนะ อุรุกวัย ได้สำเร็จในการชิงอันดับ 3 ของทัวร์นาเม้นต์ ครั้งที่ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายของ “เดอะ ไกเซอร์” ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพ ในปี 1974 เยอรมันตะวันตก และ ฟรานซ์ พร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นสู้จุดสูงสุดด้วยกันทั้งเวลา และสถานที่เหมาะเจาะทุกอย่าง

และ เยอรมัน ก็ทำสำเร็จตามคาดเมื่อเอาชนะ ฮอลแลนด์ แม้ทัวร์นาเมนต์นั้น โยฮัน ครัฟฟ์ ของทีมสีส้ม ขโมยซีนโดดเด่นอยู่คนเดียว แต่ชัยชนะ ณ กรุงมิวนิค ก็นับเป็นไฮไลต์ของชีวิต

และมีความหมายต่อ เบ็คเค่นเบาเออร์ เอามากๆ ในฐานะนักเตะ 1 ในสองคนของประวัติศาตร์ฟุตบอลโลกที่ได้เหรียญรางวัลเวิรล์ด คัพ ครบ 3 เหรียญ คือ ทอง,เงิน,ทองแดง

ส่วนในฐานะนักเตะประจำสโมสร เบ็คเค่นเบาเออร์ เข้าร่วมทีม บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1958 และเปิดตัวฐานะกัปตันในปี 1963 ซึ่ง ฟรานซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์ ในวัย 24 ปี ถือได้ว่าเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากในตำแหน่งกองกลางของทีมในตอนนั้น

ในปี 1970 เขาได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมของ บาเยิร์น มิวนิค และเขาได้เปลี่ยนตำแหน่งการเล่นจากกองกลางลงมาสู่กองหลัง และในช่วงเวลานี้เองถือเป็นช่วงที่เขาประสบความสำเร็จอย่างมากในอาชีพค้าแข้ง

ในช่วงระหว่างปี 1970-76 เขาได้พาทีม บาเยิร์น คว้าแชมป์ยูโรเปียนส์ คัพ ( ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในปัจจุบัน ) ได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันระหว่างปี 1974-76 คว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้อีก 3 สมัย ในระหว่างปี 1972-74 คว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล และอินเตอร์เนชั่นแนล คัพอีกอย่างละ 1 ครั้ง ในปี 1977

เขาได้ย้ายไปเล่นในลีกอเมริกา (เมเจอร์ลีก ซ็อกเกอร์ในปัจจุบัน) กับทีมนิวยอร์ก คอสมอส ซึ่งเจ้าตัวสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เช่นกัน

ซึ่งการย้ายไปเล่นที่อเมริกานั้นเจ้าตัวได้ร่วมเล่นกับดาวดังหลายคนไม่ว่าจะเป็น เปเล่ , โยฮัน นิสเกนส์ และ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ หลังจากอยู่เล่นได้ 3 ปี เจ้าตัวกลับเยอรมันอีกครั้งแต่ครั้งนี้อยู่ในสีเสื้อของฮัมบูร์ก

เขาลงเล่นที่นั่นอยู่ 3 ปี และที่นั่นเองคือสถานีสุดท้ายของเจ้าตัวในอาชีพค้าแข้ง ตลอดอาชีพ เจ้าตัวลงเล่นในบุนเดสลีกาทั้งสิ้น 424 นัด ทำไป 44 ประตู

ตลอดระยะเวลาค้าแข้ง 19 ปีในอาชีพนักฟุตบอลของเขา เขาคว้ามาได้หมดแล้วทุกถ้วยแชมป์ทั้งในนามทีมชาติและสโมสร และอีกทั้งเขายังเป็นผู้ล่นในตำแหน่งกองหลังเพียงคนเดียวที่สามารถคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ มาได้ถึง 2 สมัย

ในปี 1972 และ 1976 และเขายังมีชื่อในทีมสุดยอดผู้เล่นประจำ บัลลง ดอร์ ตลอดกาล ที่จัดโดยฟุตบอลฝรั่งเศส ในปี 2020 อีกด้วย

ด้วยสไตล์การเล่นและทักษะเฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถเทียบชั้นเขาได้ ทำให้เขาได้เป็นที่ยอมรับของแฟนฟุตบอลทั่วโลกว่า เขานี่แหละคือ’สุดยอดกองหลังตลอดกาล

เขาได้รับงานคุมทีมชาติทันทีหลังเลิกเล่น ซึ่งขณะนั้นเขาไม่มีโค้ช “ไลเซนต์” เลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความรู้ ความสามาาถของเขา เขาได้คุมทีมลงเล่นในศึกฟุตบอลโลก 1986 และเขาก็สามารถพาทีมทะลุไปถึงนัดชิงชนะเลิศได้

แต่ก็ต้องเสียใจ เพราะผลการแข่งขันจบลงที่แพ้ทีมชาติอาร์เจนติน่าไป 3-2 อาร์เจนติน่า ซึ่งในขณะนั้นทีมฟ้า-ขาว นำทีมมาโดย เสือเตี้ย ดิเอโก้ มาราโดน่า นั่นเอง

เวลาผ่านไป 4 ปี ในศึกฟุตบอลโลกที่ อิตาลี เหตุการณ์คล้ายเดิม เมื่อทีมชาติเยอรมันตะวันตก ได้โคจรมาเจอทีมชาติ อาร์เจนติน่า อีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศ และในครั้งนี้ยังคงมี เสือเตี้ย นำทัพมาเช่นเดิม และในครั้งนี้ก็เป็นฝ่าย เยอรมัน ที่ได้เฮบ้าง เมื่อพวกเขาสามารถเอาชนะไปได้ 1-0 จากลูกยิงนาที 85 ของ อันเดรส เบร์เมอร์ คว้าแชมป์โลกไปครองสำเร็จ

และการคุมทีมคว้าแชมป์ในครั้งนั้นส่งผลให้ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ กลายเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์ได้ในฐานะโค้ชเยอรมันและการค้าแข้ง

เกียรติประวัติ
บาเยิร์น มิวนิค
แชมป์ บุนเดสลีกา : 1968–69 , 1971–72 , 1972–73 , 1973–74
แชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 1965–66, 1966–67, 1968–69, 1970–71
ยูโรเปี้ยนคัพ : 1973–74 , 1974–75 , 1975–76
ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ : 1966–67
อินเตอร์คอนติแนนตันคัพ : 1976
ฮัมบูร์ก เอสวี
แชมป์ บุนเดสลีกา : 1981–82
นิวยอร์ค คอสมอส
แชมป์ ช็อกเกอร์ เมเจอร์ลีก : 1977, 1978, 1980
นามทีมชาติ
แชมป์ ฟุตบอลโลก : 1974
ยูฟ่า ยูโร : 1972
นามผู้จัดการทีมชาติ เยอรมัน
แชมป์ ฟุตบอลโลก : 1990
ผู้จัดการทีม โอลิมปิก มาร์กเซย
แชมป์ ลีก 1 : 1990–91
ผู้จัดการทีม บาเยิร์น มิวนิค
แชมป์ บุนเดสลีกา : 1993–94
แชมป์ ยูฟ่า คัพ : 1995–96
ส่วนตัว
บัล ลงดอร์ : 1972, 1976
นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ เยอรมัน : 1966, 1968, 1974, 1976

credit : https://www.bundesliga.com/

images credit : https://www.ispo.com/

images credit : https://www.pinterest.com/

images credit : https://www.bbc.com/

images credit : https://sportslumo.com/

images credit : https://www.chinadailyhk.com/

images credit : https://colgadosporelfutbol.com/

images credit : https://www.atari.io/

images credit : https://www.90min.com/