ตำนานกองหลังกัปตันทีมเอซี มิลาน และทีมชาติอิตาลี ที่อยู่ยาวนานที่สุด

เปาโล มัลดินี เกิดที่เมืองมิลาน เมื่อ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1968 เป็นนักฟุตบอลชาว อิตาลี เล่นให้กับสโมสรฟุตบอล เอซี มิลาน ตลอดการค้าแข้ง มัลดีนีได้ชื่อว่าเป็นกองหลังระดับโลกหนึ่งในกองหลังระดับตำนานที่เหนียวที่สุดคนหนึ่ง เปาโล มัลดีนี เป็นลูกชายของ เชซาเร มัลดีนี พ่อของเขาเป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของ อิตาลี


เปาโล มัลดีนี ได้รับรางวัลมากมายในฐานะผู้เล่นกับ เอซี มิลาน และเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จทั้งในระดับสโมสรและกับ อิตาลี เปาโล เริ่มต้นฟุตบอลเยาวชนกับ มิลาน กับทีมชุดใหญ่เมื่ออายุ 16 ปี และไม่เคยไปที่อื่นเลยในระยะเวลากว่า 23 ปี เล่นให้กับมิลานกว่า 600 นัด เขาคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในปี 1988 ตอนนั้นอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น ในปีเดียวกัน เขาได้ลงเล่นให้กับทีมชาติ อิตาลีเป็นครั้งแรกอีกด้วย


เปาโล มัลดินี เล่นเป็นกองหลัง ส่วนใหญ่เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้าย เขาเป็นผู้นำนำที่ มิลาน และในทีมชาติ เขาอยู่กับมิลาน 25 ฤดูกาล คว้า 25 ถ้วยรางวัล เขาเล่นให้กับอิตาลี 16 ปี แปดปีในฐานะกัปตัน และมีส่วนร่วมในฟุตบอลโลกสี่ครั้ง ในปี 2007 ด้วยวัย 39 ปี เขาได้รับเลือกให้เป็นกองหลังยอดเยี่ยมจากยูฟ่า อีกทั้งเขาได้รับคำชมจาก พอล สโคลส์ หนึ่งในตำนานของแมนฯยูอีกด้วย ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ผ่านได้ยากที่สุดในอาชีพค้าแข้งของเขาเลย และมัลดินีเกษียณในฐานะผู้เล่นในปี 2009


หลังจากเกษียณจากการเล่นฟุตบอล มัลดินี ก็เริ่มแบรนด์แฟชั่นของตัวเอง ในปี 2019 มิลาน ได้แต่งตั้งเขาเป็นผู้อำนวยการด้านเทคนิค เขาเกือบจะเข้าร่วมทีม เชลซี ในฐานะโค้ชในปี 2012 แต่ มิลาน นั้นได้ทาบทามเขาก่อน และใจของ มัลดินี ก็เอียงไปอยู่กับมิลานทั้งใจแล้วด้วย ซึ่งเสื้อหมายเลข 3 ของมัลดินี่ “ปลดประจำการ” ในปี 2009 ที่ทางมิลานไม่ให้ใครใช้เบอร์นี้อีกต่อไป ถือว่าเป็นการให้เกียรติตำนานคนนี้
เกียรติประวัติของ เปาโล มัลดินี
แชมป์กัลโช่ เซเรียอา 7 สมัย 1988-89, 1992-93, 1993-94, 1994-95, 1996-97, 1999-2000, 2004-05
โคปปาอิตาเลีย 1 สมัย 2003
อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ 5 สมัย 1988-89, 1992-93, 1993-94, 1994-95, 2005-06
แชมเปียนส์ลีก 5 สมัย 1989-90, 1990-91, 1994-95, 2003-04 , 2007-08
ยูโรเปียนสซูเปอร์คัพ 4 สมัย 1989, 1990, 1994, 2003
แชมป์สโมสรโลก 2 สมัย 1989, 1990.
ฟุตบอลโลก 1990 อันดับ 3
ฟุตบอลโลก 1994 รองแชมป์
ยูโร 2000 รองแชมป์

credit : https://footballmakeshistory.eu/

images credit : https://thesefootballtimes.co/