ยอดแข้งทีมชาติ โปรตุเกส ว่ากันว่าฝีเท้าแทบไม่ต่างจาก หลุยส์ ฟิโก้ เลยแม้แต่น้อย

หากเอ่ยถึงสุดยอดมิดฟิลด์ มิดฟิลด์สายเลือดโปรตุเกส คงจะมองผ่านผู้ชายคนนี้ไปไม่ได้แน่นอน อย่าง รุย คอสต้า อาจเป็นขวัญใจของใครๆหลายคนก็เป็นได้ ซึ่งในยุค90′ แม้ชื่อเสียงเป็นรอง ฟิโก้ เพื่อนร่วมทีมชาติ แต่แฟนบอลรู้จักกันดีอย่างแน่นอนถึงฝีเท้าอันเลื่องชื่อ โดยแฟนบอลชาวไทยส่วนใหญ่จะรู้จักเขาในนามทีมชาติ เพราะเล่นได้โดดเด่นไม่แพ้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่กำลังเป็นดาวรุ่งเลยด้วยซ้ำ

รุย คอสต้า มีชื่อเต็มว่า “รุย มานูเอล แซซาร์ คอสต้า” เกิดเมื่อ 29 มีนาคม ปี 1972 เขาก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในฐานะการเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในเวลานั้น หลังจากที่สร้างผลงานได้อย่างสุดยอดกับสโมสรในบ้านเกิดอย่าง เบนฟิก้า คอสต้า นับว่ามีความผูกพันกับสโมสร เบนฟิก้า เป็นอย่างมาก เนื่องจาก ถูกดันจากนักเตะเยาวชนของสโมสรเบนฟิก้า ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ และ แจ้งเกิดในเวทีลูกหนังในฐานะดาวรุ่งพุ่งแรงได้ในที่สุด

หลังจากนั้นเขาได้มีความคิดที่อยากไปโด่งดังยังต่างแดน เขาก็ได้บินไปสู่แดน อิตาลี ใน 1994 กับ สโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง”ม่วงมหากาฬ” ฟิออเรนติน่า ด้วยค่าตัวประมาณ 6 ล้านยูโร และ ลงสนามให้กับ ฟิออเรนติน่า มากที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของเขาที่ 215 นัดทำได้ถึง 38 ประตู

ซึ่งการอยู่ที่นั่นของเขา เขาคือหนึ่งในผู้เล่นระดับตำนานของทีม เพราะการมาทำให้ทีมฟิออเรติน่า มีผลงานที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาเลยทีเดียว แถมเป็นจอมแอสซิสต์ของทีมจนทำให้ กาเบรียล บาติสซูต้า กองหน้าชื่อด้งกลายเป็นดาวซัลโวจากฝีเท้าของเขาอีกด้วย บ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ปิดทองหลังพระให้กับทีมเลยทีเดียว




หลังจากนั้น ฤดูกาล 2000-2001 รุย คอสต้า ตัดสินใจย้ายสู่ปีศาจแดง-ดำ เอซี มิลาน และกลายเป็นมิดฟิลด์ระดับโลกในที่สุด ด้วยค่าตัวถึง 30 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ถือเป็นค่าตัวที่สูงมากๆในยุคนั้น ในวันที่ 27 กันยายน ปี 2001 คอสต้า ทำประตูแรกให้กับ มิลาน ในเกมเปิดบ้านชนะ บาเต้ โบริซอฟ 4-0 (รวม 6-0) ในรอบแรกของยูฟ่า คัพ แต่การมาอยู่กับ เอซี มิลาน คอสต้า ไม่ได้สวยหรูมากนักเพราะเขามีอาการบาดเจ็บเรื้อรังติดตัวมาจากสโมสรเดิม การมาอยู่ที่แห่งใหม่นี้ทำให้เขาไม่ค่อยได้ลงสนามเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าไหร่ เพราะร่างกายไม่ค่อยจะผ่านความฟิต แม้อยู่กับ มิลาน ถึง 5 ฤดูกาล แต่ลงสานมไปทั้งหมดเพียง 124 นัดเท่านั้น กับ 4 ประตูที่ยิงได้

ในนามทีมชาติโปรตุเกส รุยคอสต้า ลงเล่นให้กับทีมชาติชุดใหญ่ไปทั้งสิ้น 94 เกมส์ ทำได้ 26 ประตู และ ถือว่าเป็นแผงมิดฟิลด์คนสำคัญของทีม เล่นร่วมกับ หลุยส์ ฟิโก้ ได้อย่างลงตัว คอสต้า มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ โปรตุเกส ไปถึงรอบชิงชนะเลิศศึกยูโร ในปี 1996 ในบ้านเกิด โดยยิงประตูที่ เอสตาดิโอ ดา ลุซ ในเกมที่พบกับอังกฤษในรอบก่อนรองชนะเลิศ ถัดมาในศึกฟุตบอล โลกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ คอสต้า ทำประตูชัยให้ โปรตุเกสในการเอาชนะโปแลนด์ 4-0 และ ครั้งเดียวในอาชีพค้าแข้งที่ คอสต้า ที่โดนไล่ออกคือเกมทีมชาติกับ เยอรมนี เพียงหนเดียว

รุย คอสต้า มีเทคนิคในทางการเล่นฟุตบอลที่ล้ำเลิศ จุดเด่นของคอสต้า คือการยิงไกล ที่สามารถทำประตูจาก บริเวณนอกกรอบเขตโทษ หรือการทำประตูจากแถวสองได้อย่างยอดเยี่ยม การจ่ายบอลที่แม่นยำ การเตะลูกนิ่ง รวมถึงการเลี้ยงบอลด้วยเทคนิค ล้วนเป็นคุณสมบัติที่ครบเครื่องที่กองกลางตัวรุก ควรจะมี

หลังจากหมดสัญญากับ เอซี มิลาน รุย คอสต้า ก็หวนกลับมาค้าแข้งกับ เบนฟิก้า ต้นสังกัดที่สร้างชื่อให้เขาอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาอยู่ที่นี่ด้วยสัญญา 2 ฤดูกาล ลงสนามไปทั้งสิ้น 43 นัด ยิงไป 5 ประตู ก่อนจะประกาศแขวนสตั๊ดไปในที่สุดในวัย 36 ปี ปัจจุบัน รุย คอสต้า เป็นผู้อำนวยการด้านกีฬาฟุตบอลของสโมสร เบนฟิก้า นั่นเอง




นี่คือประวัติของสุดยอดมิดฟิลด์คนนึงของโลก ผู้ซึ่งสวมเสื้อหมายเลข 10 มาโดยตลอดชีวิตการค้าแข้ง ไล่ตั้งแต่ เบนฟิก้า ฟิออเรนติน่า เอซี มิลาน และ เบนฟิก้า รวมถึงในนามทีมชาติโปรตุเกส รุย คอสต้า ก็สวมเสื้อหมายเลข 10 มาตลอด เรียกว่า เขาคือหนึ่งนักเตะที่ดีที่สุดของ โปรตุเกสแห่งยุคอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นผู้สร้างชื่อให้กับกองหน้าหลายๆคนแจ้งเกิดเพราะเขาอีกด้วย

เกียรติประวัติ
เบนฟิก้า
-พรีเมียรา ลีกา: 1993–94
-ทาซา เด โปรตุเกส: 1992–93
-โปรตุเกส ซูเปอร์คัพ (รองชนะเลิศ): 1991, 1993
ฟิออเรนติน่า
-โคปปา อิตาเลีย: 1995–96, 2000–01
-ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า : 1996
เอซี มิลาน
-กัลโช่: 2003–04
-โคปปา อิตาเลีย: 2002–03
-ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า: 2004
-ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก: 2002–03
-ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก(รองชนะเลิศ) : 2004-05
-รองแชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ: 2003
ทีมชาติ โปรตุเกส
-รองแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป: 2004

images credit : https://sportmob.com/

images credit : https://www.ocuriosodofutebol.com.br/

images credit : https://www.transfermarkt.com/

images credit : https://calciopedia.com.br/

images credit : https://www.planetfootball.com/

images credit : https://www.rossoneriblog.com/

images credit : https://www.indosport.com/