สุดยอดตำนานกองหน้าชาวอาร์เจนติน่า ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดกับแมนฯซิตี้

เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” เกิด 2 มิถุนายน ปี 1988 ที่กรุง บัวโนสไอเรส เป็นอดีตนักฟุตบอลชาว อาร์เจนตินา เส้นทางชีวิตของ อเกวโร่ เริ่มต้นกับสโมสรฟุตบอลในบ้านเกิดอย่างทีม อินดิเพนเดียนเต้ และสร้างปรากฏการณ์ด้วยการเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามในลีกฟุตบอลลีก อาร์เจนติน่า ในเกมกับ ซาน ลอเรนโซ่ ด้วยวัยเพียงแค่ 15 ปี กับอีก 35 วัน

เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2003 ที่เป็นที่ฮือฮาก็คือ อเกวโร่ ได้ทำลายสถิตินักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดตลอดกาลที่มีเจ้าของสถิติเดิมชื่อ ดีเอโก้ อาร์มันโด มาราโดน่า ตำนานเทพเจ้าลูกหนังของชาว อาร์เจนติน่า

ผลงานของ อเกวโร่ โดดเด่นอย่างมากตลอดระยะเวลา 3 ปีกับ อินดิเพนเดียนเต้ โดยค่อยๆ ปักหลักเป็นกองหน้าตัวหลักของทีม และทำผลงานได้ดีโดยยิงได้ถึง 23 ประตูจากการเล่น 53 นัด แน่นอนว่ารัศมีของ “กุน” เข้าตาของสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปเข้าอย่างจัง

หนึ่งในสโมสรแรกๆ ที่มีการอ้างถึง อเกวโร่ ก็คือทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เจ้าตัวเองเคยยอมรับว่าสนใจอยากย้ายมาเล่นใน แอนฟิลด์ ใจจะขาด แต่สุดท้ายทางด้าน ราฟาเอล เบนิเตซ นายใหญ่ หงส์แดง ในเวลานั้น ก็ปฏิเสธข่าวดังกล่าวว่า ลิเวอร์พูล ไม่สนใจกองหน้าดาวรุ่งรายนี้ที่คาดว่าจะมีค่าตัวถึงหลัก 10 ล้านปอนด์แต่อย่างใด

เมื่อถึงเดือน เม.ย.ปี 2006 ก็มีข่าวด่วนว่า “ตราหมี” แอตเลติโก มาดริด ทีมดังลาลีกา สเปน กล่าวเป็นทีมที่คว้าตัว อเกวโร่ มาร่วมทีมได้ตัดหน้าทีมอื่นๆ อีกนับสิบที่หวังจะได้กองหน้าพรสรรค์รายนี้

ในวันที่ 30 พ.ค. ปี 2006 ก็มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า แอตเลติโก มาดริด ได้ตกลงซื้อ อเกวโร่ ไปร่วมทีมโดยไม่มีการเปิดเผยค่าตัว แต่คาดกันว่าจะอยู่ที่ราว 15 ล้านปอนด์ (ราว 750 ล้านบาท) ซึ่งทำให้ อเกวโร่ เป็นนักเตะที่แพงที่สุดของสโมสรไปโดยปริยายในยุคนั้น

อย่างไรก็ตามผลงานในฤดูกาลแรกของ อเกวโร่ ในซุ้มตราหมีไม่สวยงามดั่งกลีบกุหลาบมากนัก เมื่อไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่นของทีมได้ดีเท่าไหร่ โดยเฉพาะไม่สามารถจับคู่กับ เฟร์นานโด ตอร์เรส ศูนย์หน้าเบอร์หนึ่งของทีมได้ และไม่ใช่แค่ผลงานส่วนตัวไม่เข้าตา ผลงานของทีมก็ไม่เข้าฟอร์มด้วยเหมือนกัน

แต่กระนั้น “กุน” ก็ยังสร้างชื่อได้จากการทำประตูที่เหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นลูกยิงในมุมที่เหลือเชื่อในเกม โคป้า เดล เรย์ นัดกับ เลบานเต้ หรือในเกมที่บุกไปยันเสมอกับ บาร์เซโลน่า ได้ถึงคัมป์ นู

ต่อมาในฤดูกาล 2007-08 เนื่องจาก เฟร์นานโด ตอร์เรส ได้ย้ายไปร่วมทีม ลิเวอร์พูล ทำให้ อเกวโร่ ต้องกลายเป็นตัวตายตัวแทนและเป็นเสาหลักในแดนหน้าของทีม ด้วยวัยเพียง 19 ปี เท่านั้น ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการกดไปถึง 19 ประตู ช่วยให้ แอตเลติโก มาดริด จบด้วยอันดับที่ 4 และสามารถผ่านเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

ในฤดูกาล 2008-09 อเกวโร่ ก็ได้เปลี่ยนคู่หูมาเป็น ดีเอโก้ ฟอร์ลัน ศูนย์หน้าทีมชาติ อุรุกวัย และทั้งคู่ก็ประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงประตูกันได้อย่างถล่มทลาย จนทำให้ แอตเลติโก มาดริด จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 อีกครั้ง และผ่านเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน

ส่วนในฤดูกาล 2009-10 นับเป็นฤดูกาลที่ดีของ อเกวโร่ เพราะเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก มาครองได้สำเร็จ หลังจากตกรอบแบ่งกลุ่มของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแข่งในถ้วยนี้ ด้วยเอาชนะ ฟูแล่ม 2-1 ในช่วงต่อเวลา ซึ่งเกมนี้เขาเป็นคนทำแอสซิสต์ได้สองลูกให้เพื่อร่วมทีมทำประตู และเขาก็เป็นคนพาทีมเข้าชิงชนะเลิศในศึก โคปา เดล เรย์ แต่น่าเสียดายที่ต้องพ่ายแพ้ต่อ เซบีย่า ไป

ฤดูกาล 2010-11 เป็นฤดูกาลที่ อเกวโร่ ประสบความสำเร็จมากที่สุดกับ แอตเลติโก มาดริด เมื่อเขายิงได้ถึง 20 ประตูใน ลา ลีกา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้งของเขา แต่แล้วในวันที่ 23 พฤษภาคม 2011 อเกวโร่ ได้ประกาศผ่านเวบไซต์อย่างเป็นทางการของตัวเขาว่า เขาต้องการที่จะย้ายออกจากถิ่น บิเซนเต้ กัลเดร่อน และเรียกร้องให้สโมสรปล่อยตัวเขาออกจากทีม จนกระทั่งในวันที่ 28 กรกฏาคม 2011 ก็เป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่กระชากตัวเขาไปร่วมทีม ด้วยค่าตัว 38 ล้านปอนด์ (ราว 1,800 ล้านบาท)

ในฤดูกาล 2011-12 อเกวโร่ ลงสนามให้กับ “เรือใบสีฟ้า” เป็นครั้งแรกในศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ นัดที่เอาชนะ สวอนซี 4-0 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2011 ซึ่งเขาถูกส่งลงมาในฐานะตัวสำรอง และสามารถยิงประตูแรกให้กับสโมสรได้ด้วย หลังจากนั้น เขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงให้กับต้นสังกัดใหม่ โดยยิงได้ถึง 30 ประตู จากการลงสนาม 48 นัด รวมในทุกรายการ ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ได้เป็นสมัยแรกในรอบ 44 ปี

ต่อมาฤดูกาล 2012-13 อเกวโร่ พาทีม “เรือใบสีฟ้า” คว้าแชมป์ คอมมูนิตี้ ชิลด์ ได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ เชลซี ไป 3-2 ที่สนาม วิลล่า ปาร์ค แต่หลังจากนั้นก็ถูกอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดทั้งปี ทำให้เขายิงประตูได้แค่ 17 ประตู จาก 40 นัดที่ลงสนาม รวมทุกรายการ และไม่สามารถช่วยต้นสังกัดคว้าแชมป์รายการใดได้สักรายการเดียว ซึ่งช่วงปิดฤดูกาลนั้น มีข่าวลือหนาหูว่า เขาจะย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่บอลสเปน แต่ อเกวโร่ ก็ออกมาปฏิเสธและบอกว่า เขามีความสุขดีกับ แมนฯ ซิตี้ ดีลนี้จึงเป็นหมันไป

ในฤดูกาลปี 2013-14 อาการบาดเจ็บทำให้ไม่ได้ลงซ้อมกับทีมสโมสรในช่วงปิดฤดูกาล เพราะอาการบาดเจ็บ แต่การพักก็ทำให้เขากลับมาช่วยได้ทันกับการทำ 28 ประตู จาก 34 นัด และ คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก

ในฤดูกาลปี 2014-15 อเกวโร่ ได้รับรางวัล รองเท้าทองคำของ สมาพันธ์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาครองได้สำเร็จ
ในฤดูกาลปี 2015-16 ภายในปีนี้ อเกวโร่ เปลี่ยนจากหมายเลข 16 ให้เป็นหมายเลข 10 ต่อจาก เชโก้ และ เซร์คิโอ อเกวโร่ ยังจบฤดูกาลด้วยรางวัล ทองเท้าทองคำอีกครั้ง จาก 44 นัด 29 ประตู

ในฤดูกาลปี 2016-17 อเกวโร่ ช่วยเหลือทีมภายในปีนี้เป็นการลุ้นคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกอีกครั้งแต่พ่ายแพ้ให้กับ เชลซี ด้วยการทำ 33 ประตู จาก 45 นัด

ในฤดูกาลปี 2017-18 เสมือนกับฟ้ากลับมาเข้าข้าง อเกวโร่ ที่ช่วยทำให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งอย่างงดงาม กับการลงสนาม 39 นัด 30 ประตู

หลังจากนั้น ฤดูกาลถัดมา อเกวโร่ มีอาการบาดเจ็บรบกวนต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถลงสนามให้เรือใบอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนทำให้กุนซือของทีมในตอนนั้น (เป๊ป กวาร์ดิโอล่า) มอบตำแหน่งตัวจริงให้กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง มาเล่นในบทกองหน้าตัวเป้า และเขาก็ทำผลงานได้อย่างดี จนทำให้แฟนบอลของเรือใบสีฟ้าแทบจะลืม อเกวโร่ ไปเลยทีเดียว

จนกระทั่งในฤดูกาล 2020-21 จบลง ทางแมนฯซิตี้เสนอสัญญาฉบับใหม่ให้กับ อเกวโร่ ในระยะสัญญาแค่ปีเดียว แต่ทางเจ้าตัวปฏิเสธที่จะรับเพราะเขาอยากได้สัญญา 2 ปีขึ้นไป สุดท้ายจึงต้องแยกทางกับต้นสังกัดที่ร่วมทีมมายาวนานถึง 10 ฤดูกาล

หลังจาก อเกวโร่ กลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ในตอนนั้น ทำให้ทีม บาร์เซโลน่า ยังคงเห็นพรสวรรค์และฝีเท้าที่ยังคงน่าจะพึ่งพาได้อยู่กับแข้งวัย 33 ปี จึงเสนอสัญญา 2 ปีให้กับเขาและในที่สุดก็ได้มาร่วมงานกัน

หลังร่วมงานในซุ้มบาร์เซโลน่ามาได้ซักระยะ ในวันที่ 30 ตุลาคม เป็นเกมการแข่งขันระหว่างต้นสังกัด บาร์เซโลน่า ปะทะ อลาเบส ในศึกลาลีกา สเปน อเกวโร่ มีอาการแน่นหน้าอกในขณะฟาดแข้งในเกมจนถึงขั้นต้องหามส่งโรงพยาบาล ส่งผลให้เขาต้องพักรักษาตัวอย่างน้อย 3 เดือน

ด้วยแพทย์ระบุว่าเขาเป็นโรคหัวใจ และแพทย์ที่ทำการรักษาแนะนำให้เขายุติอาชีพค้าแข้งหากยังห่วงเรื่องการรักษาชีวิตของตัวเองอยู่ และล่าสุดในวันที่ วันที่ 15 ธ.ค. 2021 ซร์คิโอ อเกวโร่ ก็ได้ประกาศแขวนสตั๊ดตามคำแนะนำของแพทย์ ด้วยน้ำตาของชายที่โลดแล่นในวงการลูกหนังมามากกว่า 15 ปีไปในที่สุด

เกียรติประวัติ
แอตเลติโก มาดริด
ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก : 2009–10
ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ : 2010
โคปา เดย์ เรย์ : 2009–10
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
แชมป์ พรีเมียร์ลีก : 2011–12, 2013–14, 2017–18, 2018–19, 2020–21
แชมป์ เอฟ เอ คัพ : 2018–19, 2012–13(รองแชมป์)
แชมป์ ลีก คัพ : 2013–14,2015–16,2017–18, 2018–19, 2019–20, 2020–21
แชมป์ เอฟ เอ คอมมิวนิตีชีลด์: 2012, 2018, 2019
รองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยส์ ลีก : 2020–21
ทีมชาติ อาร์เจนติน่า
รองแชมป์ ฟุตบอลโลก เวิร์ดคัพ 2014
โคปา อเมริกา 2021

credit : https://www.thefamouspeople.com/

images credit : https://depor.com/

images credit : https://www.tycsports.com/

images credit : https://www.eurosport.com/

images credit : https://www.theguardian.com/

images credit : https://www.manchestereveningnews.co.uk/

images credit : https://www.lavoz.com.ar/

images credit : https://sports.ndtv.com/

images credit : https://soccertowin.com/

images credit : https://www.skysports.com/